Author Archives: admin_edit

  • 0

กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ให้ผู้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรที่ซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการจดทะเบียนเพื่อนำออกไปนอกราชอาณาจักร ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกเรียกเก็บ


Tags : 

อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ให้ผู้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรที่ซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการจดทะเบียนเพื่อนำออกไปนอกราชอาณาจักร ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกเรียกเก็บไว้แล้วได้ดังต่อไปนี้

ข้อ ๑ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของ ข้อ ๔ ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๙๑) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ให้ผู้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรที่ซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการจดทะเบียนเพื่อนำออกไปนอกราชอาณาจักรขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกเรียกเก็บไว้แล้วได้ตามมาตรา ๘๔/๔ แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ ๔ พฤษภาคมพ.ศ. ๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

“ข้อ ๔ ผู้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรที่มีสิทธิขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกเรียกเก็บไว้แล้วซึ่งมีมูลค่าการซื้อสินค้ารวมกันทั้งหมดตั้งแต่ห้าพันบาทขึ้นไป ต้องนาสินค้าตามข้อ ๒ และคำร้องขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมใบกำกับภาษีไปแสดงต่อเจ้าพนักงานศุลกากร ณ ท่าอากาศยานระหว่างประเทศในขณะเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เพื่อให้เจ้าพนักงานศุลกากรประทับรับรองในคำร้องขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.๑๐) หรือตรวจรับรองคำร้องขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.๑๐) โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์”

ข้อ ๒ ให้ยกเลิกความในวรรคสามของ ข้อ ๔ ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๙๑) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ให้ผู้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรที่ซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการจดทะเบียนเพื่อนำออกไปนอกราชอาณาจักรขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกเรียกเก็บไว้แล้วได้ตามมาตรา ๘๔/๔ แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ ๔ พฤษภาคมพ.ศ. ๒๕๔๒ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

“เมื่อผู้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรปฏิบัติตามวรรคหนึ่งและวรรคสองแล้ว ให้ผู้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรขอรับคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ โดยวิธีการดังนี้

๔.๑ ยื่นคำร้องขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.๑๐) ดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานสรรพากรหรือตัวแทนที่ได้รับแต่งตั้ง ณ ท่าอากาศยานระหว่างประเทศขณะเดินทางออกนอกราชอาณาจักรหรือ

๔.๒ นำส่งคำร้องขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.๑๐) ดังกล่าวทางไปรษณีย์ ให้กับ เจ้าพนักงานสรรพากรหรือตัวแทนที่ได้รับแต่งตั้ง ภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่ซื้อสินค้าเป็นวันแรก หรือ

๔.๓ ยื่นคำร้องขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.๑๐) โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์” ข้อ ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสามของข้อ ๖ ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๙๑) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ผู้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรที่ซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการจดทะเบียนเพื่อนำออกไปนอกราชอาณาจักรขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกเรียกเก็บไว้แล้วได้ตามมาตรา ๘๔/๔ แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ ๔ พฤษภาคมพ.ศ. ๒๕๔๒

“ในกรณีที่ผู้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกเรียกเก็บไว้แล้วตามข้อ ๔.๓ ให้เจ้าพนักงานสรรพากรหรือตัวแทนที่ได้รับแต่งตั้งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้ผู้เดินทางออกนอกราชอาณาจักร ผ่านช่องทางการชำระเงินด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น”

ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๓ เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๓

Credit : http://www.rd.go.th


  • 0

การใช้เกณฑ์สิทธิในการคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับระบบบัญชี


Tags : 

อาศัยอำนาจตามมาตรา ๖๕ วรรคสองและวรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๒๗ อธิบดีกรมสรรพากร จึงมีคำสั่งวางทางปฏิบัติ ดังต่อไปนี้

ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๓.๑๓ ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป. ๑/๒๕๒๘ เรื่อง การใช้เกณฑ์สิทธิในการคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๘

“๓.๑๓ การคำนวณรายได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นกองทุนรวมให้ใช้เกณฑ์สิทธิตามข้อ ๒ เว้นแต่รายได้ที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๔) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร ให้นามารวมคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับชำระ

ในกรณีรายได้ที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๔) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นผลต่างระหว่างราคาไถ่ถอนกับราคาจาหน่ายตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่มีการออกจาหน่ายในครั้งแรกของตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้นั้น ให้นารายได้ดังกล่าวมารวมคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับโอนตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้นั้น”

ข้อ ๒ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นต้นไป

สั่ง ณ วันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๓

ฟรี ระบบบัญชี Smartbiz Accounting https://www.crystalsoftwaregroup.com/download/free-download/

 

Credit : https://www.ryt9.com


  • 0

มาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ปี 2563


Tags : 
สาระสำคัญ

เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยตลอดปี 2562 เผชิญกับความไม่แน่นอนจากภายนอกประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจประสบสภาวะชะลอตัวและอาจส่งผลกระทบการลงทุนในปี 2563 กระทรวงการคลังจึงเห็นสมควรเสนอมาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ปี 2563 โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ

             1) วัตถุประสงค์ : ช่วยส่งเสริมและกระตุ้นให้การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นในปี 2563
             2) กลุ่มเป้าหมาย : บริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
             3) ระยะเวลาดำเนินงาน : สำหรับรายจ่ายที่จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563
             4) วิธีดำเนินงาน : ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักรายจ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักรได้ร้อยละ 250 หรือ 2.5 เท่า ของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่รวมถึงกรณีที่เป็นธุรกิจให้เช่าแบบลีสซิ่งและลงทุนในเครื่องจักรเพื่อให้เช่าเครื่องจักรนั้นแบบลีสซิ่ง โดยให้หักรายจ่ายร้อยละ 100 แรก หรือ 1 เท่าแรกของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง เป็นค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามเกณฑ์ที่ประมวลรัษฎากรกำหนด และทยอยหักรายจ่ายส่วนเพิ่มเป็นเวลา 5 รอบระยะเวลาบัญชี ทั้งนี้ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
             ทั้งนี้ การใช้สิทธิประโยชน์สามารถดำเนินการได้โดยการตราพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน 1 ฉบับ
             5) สูญเสียรายได้ : คาดว่าจะสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลประมาณ 6,600 ล้านบาทต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี
             อนึ่ง ในส่วนของการหักค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในอาคาร กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมในการให้สิทธิประโยชน์ตามมาตรการนี้

2. มาตรการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร

             1) วัตถุประสงค์ : เพื่อกระตุ้นการลงทุนในประเทศและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการ
             2) กลุ่มเป้าหมาย : ผู้ประกอบการ
             3) ระยะเวลาดำเนินงาน : การนำเข้าเครื่องจักรตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงการคลังมีผลบังคับใช้ – 31 ธันวาคม 2563
             4) วิธีดำเนินงาน : ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร 146 ประเภทย่อย โดยการออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) จำนวน 1 ฉบับ
             5) สูญเสียรายได้ : คาดว่าจะสูญเสียรายได้อากรขาเข้าประมาณ 2,000 ล้านบาท

3. มาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (มาตรการสินเชื่อฯ)

             1) วัตถุประสงค์ : เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ในอัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนปรน โดยเฉพาะผู้ประกอบการส่งออกและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง (Supply Chain) รวมถึงผู้ประกอบการที่มีการนำเข้าเครื่องจักรเพื่อการพัฒนาประเทศ เพื่อยกระดับกระบวนการผลิตและเพิ่มศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมไทยไปสู่ Industry 4.0 และมีการเติบโตอย่างยั่งยืน
             2) กลุ่มเป้าหมาย : ผู้ประกอบการส่งออกและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และผู้นำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อพัฒนาประเทศ
             3) ระยะเวลาดำเนินงาน : ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ หรือตามที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) กำหนด และกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเมื่อ ธสน. ให้สินเชื่อเต็มกรอบวงเงินของมาตรการ ทั้งนี้ ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2563
             4) สิทธิประโยชน์ : อัตราดอกเบี้ย (ต่อปี)
                - ปีที่ 1-2 : ร้อยละ 2
                - ปีที่ 3-5 : Prime Rate – ร้อยละ 2
                - ปีที่ 6-7 : Prime Rate
                ณ วันที่ 22 มกราคม 2563 Prime Rate = ร้อยละ 6
             5) งบประมาณ : รัฐบาลชดเชยส่วนต่างดอกเบี้ยให้แก่ ธสน. เป็นจำนวนทั้งสิ้น 350.67 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ ธสน. ทำความตกลงในการเบิกจ่ายงบประมาณกับสำนักงบประมาณต่อไป

4. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

             มาตรการดังกล่าวจะส่งผลก่อให้เกิดการลงทุนกว่า 110,000 ล้านบาท 

Credit : https://www.ryt9.com

  • 0

ครม.ขยายเวลาจดแจ้งขอใช้สิทธิลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลหนุนลงทุนใน SEZ


Tags : 

สาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นการขยายเวลาการจดแจ้งการขอใช้สิทธิลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับการประกอบกิจการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ตั้งแต่วันที่ พ.ร.ฎ.ฉบับนี้ใช้บังคับออกไปจนถึงวันที่ 30 ธ.ค.63 โดยกำหนดให้มีการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 20% ลงเหลือ 10% เป็นเวลา 10 รอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกันให้แก่บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งมีสถานประกอบการตั้งอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ SEZ (Special Economic Zone) สำหรับกำไรสุทธิจากรายได้ที่เกิดจากการผลิตสินค้าหรือการให้บริการ และมีการใช้บริการในเขต SEZ สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ได้จดแจ้งการขอใช้สิทธิการเป็นบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในพื้นที่ SEZ

นางนฤมล กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้มีการพิจารณาการสูญเสียรายได้ของรัฐจากการบังคับใช้ร่าง พ.ร.ฎ.ดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้เพียง 4 ล้านบาท แต่จะเป็นการส่งเสริมให้มีการลงทุนในพื้นที่ SEZ ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้มีการผลิตสินค้าและบริการในพื้นที่ดังกล่าวมากขึ้น

นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.ยังเห็นชอบในหลักการร่าง พ.ร.ฎ.ออกตามความในประมวลรัษฎากร เพื่อสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งสอดรับกับนโยบายของภาครัฐในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมาย

ขณะที่กระทรวงการคลังเห็นว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนให้เกิดการบริจาคของภาคเอกชน จึงกำหนดมาตรการภาษีเพื่อจูงใจให้ห้างหุ้นส่วน นิติบุคคล บริจาคทรัพย์สินที่ใช้สำหรับการประกอบอุตสาหกรรม 4.0 โดยเน้นเรื่องเครื่องจักร อุปกรณ์ที่ใช้ระบบออโตเมชั่น หรือโรบอติก (AI) โดยกำหนดให้มีการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นจำนวน 3 เท่าของที่จ่ายจริง และยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะและอากรแสตมป์สำหรับส่วนที่จ่ายไปเพื่อทรัพย์สินที่บริจาคให้ศูนย์ส่งเสริมพัฒนาบุคลากรเพื่ออุตสาหกรรม 4.0 ดังกล่าว โดยการยกเว้นภาษีดังกล่าวจะดำเนินการเฉพาะในปีภาษี 2563 เท่านั้น

​ด้านนางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมสรรพากรกำลังเตรียมการที่จะออกมาตรการลดหย่อนภาษีให้กับนิติบุคคลที่มีสถานประกอบกิจการตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ SEZ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการมีการผลิตสินค้า และบริการ ในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น อันจะเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่มีรายได้มีงานทำ และเป็นการกระจายความเจริญ และเพิ่มรายได้แก่ท้องถิ่น ลดการเคลื่อนย้ายแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยทางกรมสรรพากรจะเปิดให้นิติบุคคลในพื้นที่ SEZ ยื่นขอรับสิทธิได้ทันที จนถึงวันที่ 30 ธ.ค.63

 

Credit : https://www.ryt9.com


  • 0

ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ แห่งประมวลรัษฎากรมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย


Tags : 

อธิบดีกรมสรรพากรสั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งไม่มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ตามหมวด ๓ ในลักษณะ ๒ แห่งประมวลรัษฎากร หักภาษี ณ ที่จ่าย ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และอัตรา ดังต่อไปนี้

ข้อ ๑ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (๔) ในข้อ ๔ ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป. ๔/๒๕๒๘ เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป. ๒๐๕/๒๕๕๖ เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖

“(๔) บุคคล บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๔) (ก) แห่งประมวลรัษฎากรให้แก่ผู้รับซึ่งเป็นกองทุนรวมที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หักภาษี ณ ที่จ่าย โดยคำนวณ หักไว้ในอัตราร้อยละ ๑๕.๐

ในกรณีที่เงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๔) (ก) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นผลต่างระหว่างราคาไถ่ถอนกับราคาจาหน่ายตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่มีการออกจาหน่ายในครั้งแรกของตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้นั้น ให้ถือว่าผู้ออกตั๋วเงินหรือผู้ออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ ให้แก่กองทุนรวมที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยซึ่งเป็นผู้ทรงคนแรกของตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้นั้น เป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน และให้เรียกเก็บภาษีเงินได้จากกองทุนรวมดังกล่าวในอัตราที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่ง และให้ถือว่าภาษีที่เรียกเก็บนั้นเป็นภาษีที่หักไว้”

ข้อ ๒ ให้ยกเลิกความในข้อ ๕ ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. ๔/๒๕๒๘ เรื่อง สั่งให้ ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ ๒๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป. ๕๘/๒๕๓๙ เรื่อง สั่งให้ผู้จ่าย เงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๙ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

“ข้อ ๕ ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย สถาบันการเงิน ที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม กองทุนรวมที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยแต่ไม่รวมถึงกองทุนรวมตราสารหนี้และกิจการร่วมค้า ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินปันผล เงินส่วนแบ่งของกาไร หรือประโยชน์อื่นใดตามมาตรา ๔๐ (๔) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร หักภาษี ณ ที่จ่าย โดยคำนวณหักไว้อัตรา ร้อยละ ๑๐.๐ กรณีจ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมาย ของต่างประเทศประกอบกิจการในประเทศไทย หรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้น ตามกฎหมายไทย แต่ไม่รวมถึง

(๑) บริษัทจดทะเบียน เฉพาะกรณีที่ผู้จ่ายมิใช่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงิน และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิเรียกร้อง ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

(๒) บริษัทจากัด นอกจาก (๑) ซึ่งถือหุ้นในบริษัทจากัดผู้จ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า ร้อยละ ๒๕ ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียงในบริษัทจากัดผู้จ่ายเงินปันผล และบริษัทจากัดผู้จ่าย เงินปันผลไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทจากัดผู้รับเงินปันผลไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม

กองทุนรวมตราสารหนี้ตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า กองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่ลงทุนในตราสารหนี้ตามสัดส่วนที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด”

ข้อ ๓ คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับสำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินที่ได้จ่ายตั้งแต่วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นต้นไป

สั่ง ณ วันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๓

Credit : http://www.rd.go.th


  • 0

9 ข้อภาษีที่ควรรู้ก่อนเริ่มต้นทำธุรกิจ (เกี่ยวข้องกับระบบบัญชี)


Tags : 

9 ข้อภาษีที่ควรรู้ต่อไปนี้คือสิ่งสำคัญที่คุณจะต้องจดจำ และอาจจะได้นำไปใช้จริงในการทำธุรกิจ

1. ภาษีเงินได้

ภาษีเงินได้คือภาษีที่เก็บจากเงินได้ สำหรับคนที่มีรายได้ตามที่กฎหมายกำหนด โดยสามารถทำการเสียภาษีเงินได้เป็นบุคคลธรรมดา ซึ่งจะคำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิ (รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน) และการเสียภาษีเงินได้แบบนิติบุคคล ซึ่งจะคำนวณจากกำไรสุทธิทางภาษี

2. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน

ภาษีโรงเรือนและที่ดินเป็นภาษีที่จะเรียกเก็บจากสิ่งปลูกสร้างอย่างอาคาร ตึกแถว บ้าน ร้านค้า สำนักงาน โรงแรม ฯลฯ การเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินจะถูกเรียกเก็บในกรณีที่เกิดการให้เช่าทรัพย์สิน หรือให้ผู้เข้ามาอยู่อาศัย และในกรณีที่ใช้อสังหาริมทรัพย์ (ตึกแถว บ้าน) เป็นสถานประกอบการเชิงพาณิชย์

3. ภาษีธุรกิจเฉพาะ

เป็นภาษีที่จะเรียกเก็บกับธุรกิจธนาคาร หรือที่ประกอบกิจการคล้ายกับธนาคารพาณิชย์อย่าง ประกันชีวิต โรงรับจำนำ ตลอดจนถึงการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นการค้า หรือการหากำไร

4. ภาษีอากรแสตมป์

ภาษีอากรแสตมป์เป็นภาษีที่มาในรูปแบบของดวงแสตมป์ใช้สำหรับปิดบนเอกสารราชการ หรือหนังสือสัญญาอย่าง สัญญาการเช่าโรงเรือน เช่าซื้อทรัพย์สิน จ้างทำของ เงินกู้ ฯลฯ

5. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

เป็นภาษีที่จะต้องถูกหักทันทีเมื่อมีรายได้จากการให้บริการ ซึ่งผู้ที่มีหน้าที่หัก ณ ที่จ่าย คือคนที่ทำการจ่ายเงิน

6. ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ภาษีที่ถูกเก็บจากรายได้การขายสินค้า หรือการให้บริการ โดยมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ซึ่งต้องทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

7. ภาษีสรรพสามิต

เป็นภาษีที่จะถูกเรียกเก็บจากสินค้าที่ผลิต หรือถูกนำเข้า ตลอดจนการบริการทางธุรกิจตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้อย่าง ภาษีน้ำมัน ภาษีน้ำหอม และภาษีรถยนต์

8. ภาษีศุลกากร

เป็นภาษีที่ถูกเรียกเก็บจากการที่นำสินค้า หรือสิ่งของเข้า ออกผ่านเขตแดนหนึ่ง ไปอีกเขตแดนอื่น โดยจะถูกเก็บตามอัตราที่กฎหมายกำหนด

9. ภาษีป้าย

เป็นภาษีที่จะต้องเสียเมื่อทำการติดตั้งป้ายตามที่กฎหมายกำหนดอย่างป้ายบิลบอร์ด ป้ายผ้าใบ ป้ายไฟ หรือป้ายที่ใช้โฆษณาเพื่อหารายได้

เมื่อรู้จักกับ 9 ข้อภาษีที่ควรรู้กันไปแล้ว ก็อย่าลืมนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เพราะสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจที่ดีคือการเสียภาษีอย่างถูกต้อง หากธุรกิจคุณจำเป็นต้องเสียภาษีในข้อใด ก็ควรทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย

ฟรีโปรแกรมบัญชีสำเร็จรูป Smartbiz Accounting https://www.crystalsoftwaregroup.com/download/free-download/

Credit : www.smemove.com


  • 0

อากรแสตมป์ หนึ่งในภาษีที่ควรรู้จัก (เกี่ยวข้องกับระบบบัญชี)


Tags : 

อากรแสตมป์ที่เป็นดวงๆ แบบนี้ เป็นวิธีการเก็บภาษีอีกรูปแบบหนึ่งนะครับ แต่จะมีวิธีเสีย หรือการใช้งานอย่างไรบ้าง มาดูกันครับ

อากรแสตมป์ที่เป็นดวงๆ แบบนี้ เป็นวิธีการเก็บภาษีอีกรูปแบบหนึ่งนะครับ ไม่ใช่แสตมป์สำหรับส่งไปรษณีย์อย่างที่หลายๆ คนเข้าใจผิดกัน และที่สำคัญ เมื่อใช้อากรแสตมป์แล้ว ต้องขีดคร่อมที่อากรแสตมป์ด้วยนะครับจึงจะถือว่าสมบูรณ์

อากรแสตมป์ (Stamp Duty)

เป็นภาษีในรูปแบบหนึ่ง ที่รัฐจัดเก็บจากการกระทำตราสาร(เอกสารแสดงสิทธิ์ต่างๆ) หรือ ทำสัญญา

• ภาระภาษี จะเกิดขึ้นเมื่อกระทำตราสารหรือสัญญานั้นเสร็จสมบูรณ์ คือ การลงลายมือชื่อคู่สัญญา*

• ต้องเสียอากรแสตมป์ภายใน 15 วัน  หลังจากกระทำตราสารเสร็จสมบูรณ์

• จัดเก็บจากการทำตราสารระหว่างกัน 28 ลักษณะ ตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์

ตราสารที่ต้องเสียอากรแสตมป์

• ตราสารหรือสัญญาที่กฎหมายกำหนด เช่น

  • สัญญาจ้างทำของ
  • สัญญากู้ยืมเงิน
  • สัญญาค้ำประกัน
  • สัญญาเช่าที่ดิน
  • สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ (Licensing Agreement)
  • สัญญาร่วมลงทุน (Joint-venture Agreement)

• ตราสารหรือสัญญาที่ทำในประเทศไทย

• ตราสารหรือสัญญาที่ทำในต่างประเทศ แล้วนำกลับเข้ามาในประเทศไทย (ต้องเสียอากรภายใน 30 วัน)

การเสียอากรแสตมป์

ผู้ที่มีหน้าที่เสียอากรแสตมป์ คือ คู่สัญญาฝ่ายที่ได้รับค่าตอบแทน เช่น

“สัญญาเช่าที่ดิน ผู้ให้เช่า เป็นผู้เสียอากร”

“สัญญากู้ยืมเงิน ผู้ให้กู้   เป็นผู้เสียอากร”

วิธีการเสียอากรแสตมป์

  • ปิดอากรแสตมป์ทับบนกระดาษแล้วขีดคร่อม
  • ใช้แสตมป์ดุนบนกระดาษ (ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยม)
  • ชำระเป็นเงินสด* (สำหรับตราสาร 12 ประเภท ตามบัญชีอากรแสตมป์ ประมวลรัษฎากร)

ข้อควรรู้เกี่ยวกับอากรแสตมป์

• อากรแสตมป์เป็นเพียงเครื่องมือในการจัดเก็บภาษี ไม่ใช่กฎหมาย

• สามารถซื้ออากรแสตมป์ได้ที่กรมสรรพากร

• สัญญาปากเปล่าไม่มีหนังสือ ไม่ต้องเสียอากรแสตมป์ (อากรแสตมป์ จัดเก็บจากการทำสัญญาเป็นหนังสือเท่านั้น)

• การไม่เสียอากร ไม่ได้ทำให้ตราสารนั้นไร้ผลทางกฎหมาย แต่มีผลทำให้ตราสารหรือตราสารนั้นใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้*

• อากรแสตมป์ไม่ใช่ดวงตราไปรษณียากร ไม่สามารถนำไปใช้ปิดซองจดหมายได้

Credit : www.dharmniti.co.th


  • 0

หนี้และทุน บริหารสมดุลให้ดี


Tags : 

การบริหารเงินในธุรกิจนอกจากกระแสเงินสดรับจ่ายในกิจการแล้ว เราต้องดูสัดส่วนระหว่างหนี้สินกับเงินทุนให้มีความพอดีกัน ซึ่งหาได้จากอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของ (Debt to Equity Ratio) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า D/E Ratio เป็นอัตราส่วนที่แสดงว่าธุรกิจมีหนี้เป็นกี่เท่าของเงินทุน ค่าที่ได้ยิ่งสูงเท่าไหร่ก็แสดงว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์หนี้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดมากเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่เวลาเราไปขอสินเชื่อแล้วธนาคารจะทำการพิจารณาอัตราส่วนนี้เป็นอันดับแรกๆ

สำหรับค่า D/E Ratio ที่คำนวณได้นั้น จะสะท้อนถึงฐานะทางการเงินว่าเงินทุนหมุนเวียนที่ใช้ดำเนินธุรกิจนั้นมาจากหนี้สินหรือมาจากเงินลงทุนของเจ้าของ ถ้าค่าที่ได้ยิ่งสูง ก็แสดงว่าธุรกิจต้องพึ่งพาเงินกู้ยืมมาก ย่อมมีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยมาก เท่ากับว่ากัดฟันสู้ทำธุรกิจมาเท่าไหร่ก็เอาไปใช้หนี้หมดเลย จึงมีความเสี่ยงสูงที่ธุรกิจจะเจ๊ง แต่หากค่าที่คำนวณได้มีค่าน้อย แสดงว่าธุรกิจดำเนินงานจากเงินทุนของเจ้าของ ถ้ากู้เงินทำธุรกิจ ก็กู้แค่พอประมาณ จึงมีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นน้อย กำไรที่หามาได้ก็เอามาต่อยอดทำธุรกิจได้

อย่างไรก็ดี D/E Ratio ไม่ได้มีค่ากำหนดที่แน่นอนตายตัวว่าเท่าไหร่ถึงจะดี เพราะแต่ละธุรกิจแต่ละอุตสาหกรรมมีธรรมชาติในการทำธุรกิจที่ไม่เหมือนกัน ทำให้ความเหมาะสมของค่า D/E Ratio ที่ได้นั้นแตกต่างกัน  นอกจากนี้การคำนวณหา D/E Ratio ในแต่ละปี ก็จะช่วยให้ธุรกิจเห็นแนวโน้มความเสี่ยงทางการเงินของตัวเองว่าเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดบ้าง รู้อย่างนี้แล้วผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ไม่อยากก้มหน้าก้มตาทำงานใช้หนี้ ก็ต้องให้บริหารสัดส่วนของหนี้สินกับส่วนของเจ้าของให้สมดุลกันนั่นเอง

ERP product

 

Credit : www.kasikornbank.com


  • 0

สรรพากรชวนผู้ประกอบการเข้าระบบ VRT บน Blockchain คืน VAT ผ่านแอปพลิเคชัน


Tags : 

กรมสรรพากร เปิดเผยว่า “ในแต่ละวันกรมสรรพากรได้รับการยื่นขอคืน VAT จากนักท่องเที่ยวเฉลี่ยกว่า 5,000 รายการ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 5 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งเป็นการขอคืน VAT ด้วยการกรอกเอกสารกว่า 75% กรมสรรพากรจึงได้นำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ในการให้บริการคืน VAT ให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งจะช่วยให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวกและได้รับ VAT คืนรวดเร็วขึ้น เป็นการเพิ่มแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเที่ยวและใช้จ่ายในประเทศไทยมากขึ้น ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจก่อให้เกิดการลงทุนและจ้างงานเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง ส่วนผู้ประกอบการที่เข้าระบบนี้จะได้รับความสะดวกในการบริหารจัดการคืนภาษีได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว สามารถจัดทำเอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยให้ร้านค้าลดขั้นตอนงานเอกสาร ลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ

สำหรับคุณสมบัติของผู้สมัครต้องเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ขายสินค้าให้นักท่องเที่ยว (Vat Refund For Tourists/VRT) ไม่มีประวัติเป็นผู้ออกหรือใช้ใบกำกับภาษีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และสามารถเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์กับกรมสรรพากรได้แบบทันที (Real Time)

ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถสมัครโดยยื่นแบบคำขออนุมัติจัดทำแบบคำร้องขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.10) โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ได้ที่กลุ่มบริหารการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่นักท่องเที่ยว ชั้น 17 อาคารกรมสรรพากร ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพฯ

Credit : www.pineapplenewsagency.com


  • 0

4 ขั้นตอนต้องรู้ มีประวัติค้างชำระกู้อย่างไรให้ผ่าน


Tags : 

คำว่า “หนี้ที่มีปัญหา หรือหนี้ NPL” เป็นคำที่หลายๆ คนอาจไม่อยากได้ยิน ไม่คิดจะเป็น และไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง หนี้ NPL คือ หนี้ที่มีการค้างชำระเกิน 90 วัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือทางการเงินของคุณอย่างมาก หากคุณมีการค้างจ่ายหนี้หรือจ่ายไม่ตรงเวลา เพราะมันจะเป็นตัวบ่งชี้ว่า “สัญญาไม่เป็นสัญญา เป็นหนี้แล้วไม่ชำระหนี้” เรื่องแบบนี้นอกจากจะส่งผลต่อการขอกู้ในอนาคตแล้ว ยังทำให้โอกาสในการได้รับอนุมัติยากกว่าคนที่มีประวัติใสสะอาด แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เราลองมาดู 4 ขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติเพื่อกู้ให้ผ่านกัน

1. หันหน้ามาคุยกัน เพื่อเจรจาแก้ไข เนื่องจากการค้างจ่ายหนี้หรือการชำระไม่ตรงเวลานั้น อาจเกิดขึ้นโดยไม่เจตนา เช่น เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ โรงงานได้รับความเสียหาย ผลิตสินค้าไม่ทัน จึงสูญเสียรายได้ ทำให้ไม่มีเงินมาจ่ายหนี้ตามกำหนด ดังนั้นหากเกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำคือ เจรจาหาทางออกร่วมกับสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ของคุณ เพื่อแก้ปัญหา ทั้งนี้การเข้าไปเจรจากับเจ้าหนี้ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะอาจช่วยกันแก้ปัญหาได้ก่อนที่คุณจะกลายเป็นหนี้ NPL หรือหากเป็นไปแล้ว ก็ยังสามารถเจรจากันได้ ที่มักเรียกกันว่าการประนอมหนี้ ได้แก่ การยืดระยะเวลาการจ่ายหนี้ออกไปด้วยการลดจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระในแต่ละเดือนลง การขายทรัพย์เพื่อชำระหนี้บางส่วน หรืออื่นๆ แล้วแต่กรณีไป

2. มุ่งมั่นแก้ไขปัญหา สะท้อนความตั้งใจ เพราะปัจจัยในการพิจารณาให้สินเชื่อของธนาคารนั้นดูที่ความตั้งใจในการชำระหนี้เป็นหลัก หากคุณไม่ย่อท้อ พยายามทำทุกทางเพื่อให้การแก้ไขหนี้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความร่วมมือในการจ่ายหนี้ หรือการปฏิบัติตามเงื่อนไขการผ่อนชำระอย่างเคร่งครัด สิ่งนี้จะสะท้อนความตั้งใจในการแก้ปัญหาของคุณได้อย่างชัดเจน

3. สร้างประวัติใหม่ ผ่อนให้ตรงเวลา เนื่องจากประวัติการผิดนัดชำระหนี้เป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อของธนาคาร ซึ่งคุณจะต้องใช้เวลาพอสมควรในการพิสูจน์ตัวเอง ไม่ใช่ว่าผ่อนเป็นปกติดีอยู่ 2-3 เดือนก็จะไปขอกู้ เพราะธนาคารยังไม่มั่นใจความสามารถในการชำระเงินของคุณ ดังนั้นคุณควรพยายามสร้างประวัติใหม่ให้ดีเป็นเวลาอย่างน้อย 12 เดือน เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าฐานะทางการเงินของคุณกลับมาเป็นปกติแล้ว

4. เคลียร์หนี้ NPL ให้จบ เก็บหลักฐานอย่าให้หาย หากคุณสามารถเคลียร์หนี้ก้อนนี้ได้หมดแล้ว สถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้จะออกหลักฐานยืนยันมาให้ ซึ่งคุณจะต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี เพื่อใช้แสดงกับธนาคารที่คุณไปขอกู้ว่าคุณสามารถจบหนี้ที่มีปัญหาได้แล้วจริงๆ

สำหรับคนที่เป็นหนี้ที่มีปัญหา หรือเป็นหนี้ NPL ไปแล้ว การพิสูจน์ตัวเองนั้นต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ในระหว่างนี้ธุรกิจของคุณต้องมีวินัยทางการเงินอย่างมาก อย่าละเลยการเดินบัญชีหรือ Statement เพราะเป็นสิ่งบ่งบอกถึงกระแสเงินสดของธุรกิจ หรือแหล่งที่มาของเงินที่ใช้ชำระหนี้ แต่ทางที่ดีก็คือพยายามอย่าให้เกิดปัญหาขึ้นมา การไม่มีประวัติหนี้ค้างชำระย่อมดีที่สุด และหากเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ ให้รีบคุยกับเจ้าหนี้ เพื่อหาทางออกร่วมกัน อย่าปล่อยให้ปัญหาลุกลามจนกลายเป็น NPL

Credit : www.kasikornbank.com